นายพูลศักดิ์ อินเดริส 53-1006-010-7
นายชยพล ศิริกูลธรรมา 53-1006-116-2
นายภาสกร หมัดเซ็น 53-1006-011-5
นายณัฐพล เพชรสุข 53-1006-218-6
น.ส.ญานิกา กลิ่นทุม 53-1006-117-0
ไบโอดีเซล (BIO DIESEL)
ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิงเหลวที่ใช้ได้เหมือนน้ำมันดีเซลธรรมดา แต่ผลิตจากวัสดุทางชีวภาพ
ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Bio”
หรือ “ไบโอ” จึงได้ชื่อว่า “ไบโอดีเซล”
ซึ่งทำได้โดยน้ำมันพืช หรือน้ำมันสัตว์
ซึ่งนำน้ำมันประกอบอาหารที่ใช้แล้วดังกล่าวมาผ่านกระบวนการทางเคมีกลายเป็นไบโอดีเซล
ประเภทของไบโอดีเซล แบ่งเป็น 3 ประเภท
1. น้ำมันพืชหรือน้ำมันจากไขมันสัตว์
ไบโอดีเซลประเภทนี่คือ น้ำมันพืชแท้ ๆ เช่น
น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วลิสง หรือน้ำมันถั่วเหลือง
หรอน้ำมันจากไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู
ซึ่งสามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้เลยโดยไม่ต้องผสมหรือเติมสารเคมีอื่น ๆ
ไม่ต้องนำมาแปลงสมบัติของน้ำมันอีก
2. ไบโอดีเซลแบบลูกผสม
ไบโอดีเซลประเภทนี้เป็นลูกผสมระหว่างน้ำมันพืชหรือ
น้ำมันจากไขมันสัตว์ กับน้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล หรืออะไรก็ได้
เพื่อให้ไบโอดีเซลที่ได้มี คุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด
เราสามารถนำไบโอดีเซลมาผสมในน้ำมันดีเซลในสัดส่วนที่ต้องการ
กรณีที่ใช้ไบโอดีเซลล้วนๆ เรียกว่า ไบโอดีเซล 100% หรือ B100
ซึ่งเหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลรอบต่ำใช้หรือพวกเครื่องจักรกลทางการเกษตร แต่หากต้องการหมุนเร็วหรือใช้ในรถยนต์
จะผสมในสัดส่วนไบโอดีเซล 5 ส่วนต่อน้ำมันดีเซล 95 ส่วน จะได้เป็นไบโอดีเซลสูตร B5
ซึ่งเป็นสูตรที่ได้ทดลองในรถยนต์แล้วว่า สามารถใช้แทนน้ำมันดีเซลได้เป็นอย่างดี
ไม่มีปัญหา
3. ไบโอดีเซลแบบเอสเทอร์
ไบโอดีเซลประเภทนี้มีกระบวนการที่ยุ่งยากมากต้องผ่าน
กระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Tranesterification คือ
การนำน้ำมันจากพืชหรือสัตว์ไปทำ ปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์
โดยใช้กรดหรือด่างเป็นตัวเร่งปฏิกริยาทำให้ได้เอสเทอร์
ไบโอดีเซลเอสเทอร์มีคุณสมบัติที่เหมือนกับน้ำมันดีเซลมากที่สุด
แต่ให้การเผาไหม้ที่สะอาดกว่า
ไอเสียมีคุณภาพดีกว่าเพราะออกซิเจนให้การสันดาปที่สมบูรณ์กว่าน้ำมันดีเซล
จึงทำให้เกิดคาร์บอนมอน-ออกไซด์น้อย
และในไบโอดีเซลเอสเทอร์ไม่มีกำมะถัน จึงไม่มีปัญหาเรื่องซัลเฟต
นอกจากนี้ยังมีเขม่าคาร์บอนน้อย จึงไม่ทำให้เกิดการอุดตันของระบบไอเสีย
และยังช่วยยืดอายุ
การทำงานของเครื่องยนต์ได้อีกด้วยและนอกจากนี้คุณสมบัติสำคัญของไบโอดีเซล คือ
สามารถย่อยสลายได้เองตามกระบวนการชีวภาพในธรรมชาติและไม่เป็นพิษ
จึงเป็นเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
พืชที่ใช้ในการผลิตไบโอดีเซล
ประเทศไทยมีพืชน้ำมันที่สามารถใช้ผลิตไบโอดีเซลได้หลากหลายมากมาย ปาล์มน้ำมันและสบู่ดำเป็นพืชน้ำมันตัวเด่นในเรื่องนี้ แต่ก็มีพืชอื่นๆด้วยเช่น
● ถั่วลิสง เมล็ดมีน้ำมัน 50 – 60 %แต่เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกได้ลดลงอย่างต่อเนื่องปริมาณที่ผลิตได้จึงไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ
● งา
ผลผลิตจำนวน
65% ส่งออกไปยังต่างประเทศ น้ำมันงามีคุณค่าทางโภชนาการสูงเหมาะแก่การนำไปปรุงอาหารมากกว่าที่จะใช้ผลิตไบโอดีเซล
●ละหุ่ง
เป็นพืชที่ตลาดโลกมีความต้องการสูงมาก
โดยนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ
อาทิ อุตสาหกรรมยา จึงทำให้ปริมาณไม่พียงพอและไม่ได้นำไปใช้ในการผลิตไบโอดีเซลมากนัก
●
ถั่วเหลือง เป็นพืชที่มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง
ในขณะที่ผลผลิตของไทยมี การลดปริมาณลงทุกปี จึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ และไม่มีศักยภาพพอที่จะเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นไบโอดีเซลในไทย
เป็นพืชที่สำคัญ
ปลูกได้ทุกภาคของประเทศ โดยไทยสามารถผลิตได้มากเป็นอันดับ 5 ของโลก และมีการขยายตัวทุกปี
แต่ผลผลิตของมะพร้าวมักนำมาทำเนื้อมะพร้าวแห้งจำหน่าย
หากจะนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล รัฐจะต้องเร่งส่งเสริมให้มีการปลูกมะพร้าวเพิ่มมากขึ้น
● สาหร่าย
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลกเพื่อนำมาผลิตไบโอดีเซล
ซึ่งสามารถให้ผลผลิตต่อไร่มากกว่าปาล์มน้ำมันได้ถึง 10
- 30 เท่า แต่อย่างไรก็ตามต้นทุนการสกัดน้ำมันจากสาหร่ายยังคงสูงอยู่
ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไป
นอกจากนี้การเพาะสาหร่ายยังช่วยลดสารพิษในแหล่งน้ำ
และลดก๊าซเรื่อนกระจกในชั้นบรรยากาศได้อีกทางด้วย
● ปาล์มน้ำมัน
เป็นพืชหลักที่ภาครัฐส่งเสริมให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล พืชนี้เติบโตได้ดีในสภาพ อากาศร้อนชื้นจึงเหามะสมที่จะปลูกในภาคใต้ ปัจจุบัน ปลูกมากที่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร สตูลและ ตรัง จาก ราคาที่ดีกว่าพืชชนิดอื่น เช่น ยางพาราและข้าว เกษตรกร จึงหันมาสนใจปลูกปาล์มน้ำมันกันมากขึ้น
เป็นพืชหลักที่ภาครัฐส่งเสริมให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล พืชนี้เติบโตได้ดีในสภาพ อากาศร้อนชื้นจึงเหามะสมที่จะปลูกในภาคใต้ ปัจจุบัน ปลูกมากที่ กระบี่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร สตูลและ ตรัง จาก ราคาที่ดีกว่าพืชชนิดอื่น เช่น ยางพาราและข้าว เกษตรกร จึงหันมาสนใจปลูกปาล์มน้ำมันกันมากขึ้น
ปาล์มน้ำมันสามารถนำไปผลิตอย่างอื่นได้ด้วย เช่น
ทำน้ำมันพืชเพื่อใช้ในการประกอบอาหาร เนยขาว นมข้นหวาน ไอศกรีม ครีมเทียม
นมเทียม และสบู่
สำหรับการนำไปผลิตไบโอดีเซลนั้น
น้ำมันปาล์มเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
จึงสามารถผสมได้กับน้ำมันดีเซลได้สูงถึง 20% (เรียกว่า B20)
โดยไม่ก่อปัญหากับเครื่องยนต์
นอกจากนี้ผลผลิตของปาล์มยังเก็บง่ายคือ
ผลจะสุกพร้อมกันจึงเก็บได้ทีละหลายทะลาย
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือต้นปาล์มมีอายุยาวนานถึง 25
ปีและเริ่มให้ผลผลิตได้ตั้งแต่ปีที่ 4
เรื่อยไปจนให้ผลผลิตสูงสุดในปีที่ 11 จากนั้นก็จะลดลงไปตามลำดับ
● สบู่ดำ
หากปาล์มน้ำมันเป็นพระเอกในการเป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตไบโอดีเซล
สบู่ดำก็เปรียบเสมือนพระรอง สบู่ดำเป็นพืชที่ชาวโปรตุเกตุได้นำเข้ามาในประเทศไทยในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา
สบู่ดำเป็นพืชที่ชาวโปรตุเกตนำเข้ามาในประเทศไทยในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเพื่อให้คนไทยปลูก
ออกดอกในฤดูฝน ผลสบู่ดำมีสีเขียว เมื่อสุกจะมีสีเหลืองและดำในที่สุด แต่ละผลจะมี 3 เมล็ด ถ้าตากแห้งแล้วเมล็ดสีดำ 1 กิโลกรัมจะมีประมาณ 1,200 – 1,400 เมล็ด
ซึ่งสามารถนำมาหีบและสกัดเป็นน้ำมันสบู่ดำใช้แทนน้ำมันดีเซลในเครื่องจักรกลการเกษตรได้น้ำมันดิบประมาณ
0.25 – 0.35 ลิตรต่อเมล็ด 1 กิโลกรัม
ที่ผ่านมาสบู่ดำยังเป็นเพียงพืชที่ปลูกหัวไร่ปลายนา เรายังไม่มีการปลูกต้นสบู่ดำอย่างจิงจัง ทำให้เมล็ดสบู่ดำมีไม่มากพอต่อการสกัด เป็นน้ำมันมาใช้จริงในชีวิตประจำวันแต่ปัจจุบัน ภาครัฐได้มีนโยบายสนับสนุนให้มรการวิจัยพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสมแล้วใน 2-3 พื้นที่
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
การใช้น้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ที่ใช้แล้วมาผลิตเป็นไบโอดีเซล
เวลาเราใช้นำมันพืชหรือน้ำมันจากไขมันสัตว์ทำกับข้าว
เมื่อทำเสร็จแล้วน้ำมันที่เหลือเราก็มักโยนทิ้งลงท่อระบายน้ำ ก่อให้เกิดเป็นมลพิษทางน้ำ
ขณะที่บางคนก็เก็บเอามาใช้ซ้ำ
ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่งเพราะได้มีการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าการใช้น้ำมันทอดซ้ำทำให้เกิดมะเร็ง
ทางออกของปัญหานี้คือต้องรวบรวมน้ำมันที่ใช้แล้วพวกนี้มาผ่านกนะบวนการทางเคมีเพื่อผลิตเป็นเอสเธอร์ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซล
และสามารถใช้แทนน้ำมันดีเซลได้ จึงเรียกว่าไบโอดีเซล โดยปกติน้ำมันใช้แล้ว 10
ลิตร ผลิตไบโอดีเซลได้ 0.9 ลิตร
จากการสำรวจปริมาณน้ำมันพืชใช้แล้วในประเทศไทย คาดว่ามีประมาณ 74 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งหากรวบรวมมาได้ทั้งหมด นอกจากจะลดของเสีย ลดมลพิษ
แล้วยังผลิตไบโอดีเซลได้อีก
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
การทดสอบไบโอดีเซล
สถาบันวิจัยของ ปตท. ที่ อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา
เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใช้ทดสอบไบโอดีเซลในระดับห้องปฎิบัติการ ซึ่งพบว่าสารพิษในไอเสียจากเครื่องยนต์ที่ใช้ไบโอดีเซลมีน้อยกว่ากรณีใช้น้ำมันดีเซล
เช่น ปริมาณควันดำต่ำกว่ารวมทั้งปริมาณคาร์บอนมอนออกไซด์และฝุ่นขนาดเล็กน้อยกว่า
และไบโอดีเซลไม่มีสารกำมะถันที่ทำให้เกิดฝนกรด จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ตารางเปรียบเทียบข้อดีของการใช้ไบโอดีเซลเทียบเทียบกับน้ำมันดีเซล
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
มาตรฐานไบโอดีเซล
เมื่อปี พ.ศ.2550
ภาครัฐได้กำหนดมาตรฐานของไบโอดีเซลไว้ 2 ประเภทหรือ 2 สูตรดังนี้
น้ำมันไบโอดีเซล B5
เพื่อจำหน่ายตามปั๊มน้ำมันทั่วไป
ต้องผ่านการตรวจคุณสมบัติต่างๆ
เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถใช้กับรถยนต์ดีเซลล์โดยไม่เกิดปัญหา
น้ำมันไบโอดีเซลล์ B100
ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับเครื่องยนต์ทางการเกษตรเท่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นความแตกต่างระหว่างไบโอดีเซลสำหรับเครื่องยนต์ทางการเกษตร
(B100) และไบโอดีเซลทีใช้ในรถยนต์ (B5)
จึงได้มีการเติมสีม่วงลงในไบโอดีเซล B100หรือที่เรียกว่า “ไบโอดีเซลชุมชน”
ก่อนที่ผู้ค้าน้ำมันจะผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลได้
จำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพที่เหมาะสมและอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ทั่วโลกวางใจใช้ไบโอดีเซล
ในต่างประเทศมีการผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลมานานพอสมควรแล้ว เช่น
สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เบลเยี่ยม สวีเดน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และ เยอรมัน
โดยนิยมนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลในสัดส่วนต่างๆ
อาทิ B2
(ผสมไบโอดีเซล 2 ส่วนต่อน้ำมันดีเซล 98 ส่วน) มีจำหน่ายทั่วไปในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนB5 (ผสมไบโอดีเซล 5 ส่วนต่อน้ำมันดีเซล 95 ส่วน) ในประเทศฝรั่งเศส
โดนรถขนส่งมวลชนของฝรั่งเศสได้ใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นถึงสูตร 40
นอกจากนี้การใช้ไบโอดีเซล B20 และไบโอดีเซล100%หรือ B100 ก็เป็นที่นิยมในประเทศเยอรมัน
และออสเตรเลีย
ประเทศเยอรมันเป็นประเทศที่ผลิตและใช้ไบโอดีเซลมากที่สุดในโลก คิดเป็น 60% ของปริมาณการใช้น้ำมันในประเทศ รองลงมาเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส
ส่วนอัตราการผลิตและใช้ไบโอดีเซลของโลกนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 30% ซึ่งคาดการว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย
จะเป็นกลุ่มผู้บริโภคไบโอดีเซลรายใหญ่ของโลก
แหล่งอ้างอิง : เว็บไซต์กระทรวงพลังงาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น